Brexit กับการลงทุนในทองคำ

0 2,349

Brexit (British-Exit) คือการลงประชามติของประชาชนชาวสหราชอาณาจักรซึ่งประกอบไปด้วยสี่ประเทศ คือ ประเทศอังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ เพื่อแสดงความเห็นว่าประชาชนต้องการอยู่ร่วมกับสหภาพยุโรป (European Union) หรือไม่ ในวันที่ 23 มิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา โดยผลการลงคะแนนปรากฎว่า มีผู้มาลงประชามติ 72.2% จากผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด เสียงส่วนใหญ่มีความต้องการให้ สหราชอาณาจักร แยกตัวออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ตามรูปที่ 1 และ รูปที่ 2

 

 

 

 

รูปที่ 1 ผลการลงมติในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ที่มา http://www.bbc.com/news/politics/eu_referendum/results

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

รูปที่ 2 ผลการลงมติในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เป็นรายประเทศ

ที่มา http://www.bbc.com/news/politics/eu_referendum/results

จากผลการลงคะแนน ประชาชนส่วนใหญ่จากสองประเทศ คือ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ อยากให้สหราชอาณาจักรยังคงเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (Bremain – British Remain) แต่จำนวนเสียงของทั้งสองประเทศยังคงน้อยกว่าคะแนนเสียงส่วนใหญ่จากประเทศอังกฤษและเวลส์ ผลของประชามติดังกล่าวทำให้ นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร นาย เดวิด คาเมรอน ขอลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบ และส่งผลต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินปอนด์ของสหราชอาณาจักรอ่อนค่าลงทันทีกว่า 10% เทียบกับ US Dollar และ Yen และอ่อนค่าลงมากกว่า 7% ต่อ 1 Euro ซึ่งถือว่าเงินสกุลปอนด์ถูกเทขายออกอย่างรุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงอย่างรุนแรง ทำให้มูลค่าหุ้นทั่วโลกลดลงมากถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในหนึ่งวัน นอกจากนั้นราคาน้ำมันดิบในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ก็ลดลงเกือบ 3% เช่นเดียวกัน จนนักลงทุนถึงกับเรียกวันดังกล่าวว่า “วันศุกร์สีดำ (Black Friday)”

ในทางกลับกัน ผลการลงมติดังกล่าวส่งผลดีต่อราคาทองคำเป็นอย่างมาก โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้นสูงสุดถึงกว่า $100 มาอยู่ที่ $1,350 ต่อออนซ์ หรือ เพิ่มขึ้น 1,400 บาท เป็น 22,500 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ ในช่วงเช้าของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ตามเวลาในไทย (23 มิถุนายน 2559 ตามเวลาท้องถิ่น) เมื่อผลการลงประชามติบางส่วนเป็นไปในทาง Brexit มากกว่า Bremain ก่อนที่จะปรับตัวลงมาอยู่ที่ประมาณ $1,318 ต่อออนซ์ หรือ 21,950 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ หลังประกาศผลการลงประชามติอย่างเป็นทางการ ทำให้ราคาทองคำในประเทศ ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำ มีการปรับราคาไปทั้งหมด 31 ครั้ง มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ

สาเหตุที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 5% ภายในวันเดียวนั้น เนื่องจากความไม่แน่นอนในสภาวะเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป หลังจากผลประชามติของสหราชอาณาจักร ทำให้เงินไหลออกจากตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก เข้าสู่สินทรัพย์ที่ปลอดภัย ในกรณีนี้ ได้แก่ เงินดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา เงินเยนญี่ปุ่น และ ทองคำนั่นเอง สำหรับราคาทองคำเริ่มมีการปรับตัวสูงขึ้นมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 จากราคาต่ำสุดที่ $1,050 มาจนถึงก่อนวันทำประชามติ Brexit ที่ $1,250 และพุ่งมาเหนือ $1,300 ต่อออนซ์ หลังผลการลงประชามติ ส่งผลให้ทองคำกลับมาเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ของนักลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง หลังโดนเทขายทำกำไรมาตลอด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา จนนำไปถึงการหยุดมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ในปี พ.ศ. 2557 และมาตรการทางด้านดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา ที่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปเมื่อปลายปี พ.ศ. 2558

เมื่อราคาทองเริ่มมีการฟื้นตัวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ปัจจัยพื้นฐานที่กดดันราคาทองมาตลอด คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ซึ่งทุกครั้งที่มีประกาศตัวเลขเกี่ยวกับอัตราการว่างงาน, สภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อของทางสหรัฐอเมริกาที่แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศก็จะส่งผลกดดันต่อราคาทองคำให้ลดลงโดยทันที แต่ในสภาวะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปจากวิกฤตการณ์ Brexit ก็น่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาเป็นไปได้ยากมากขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสถาบันถึงกับคาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในปีนี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก จากสถานการณ์ดังกล่าวย่อมส่งผลดีต่อราคาทองคำ อย่างน้อยจนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 ซึ่งยังอยู่ ในช่วงที่เหตุการณ์ Brexit ยังไม่มีความชัดเจนในขั้นตอนการดำเนินการ เพราะต้องรอนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของสหราชอาณาจักรที่จะเป็นผู้เริ่มกระบวนการต่างๆ ถึงแม้จะมีข้อเรียกร้องจากทางสหภาพยุโรปให้ สหราชอาณาจักรเริ่มกระบวนการ Brexit ให้เร็วที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

รูปที่ 3 Brexit

ที่มา http://www.politisonline.com/wp-content/uploads/2016/01/Brexit.jpg

            อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์ Brexit มีทางออกที่ชัดเจนมากขึ้น ราคาทองคำก็มีโอกาสที่จะปรับลดลงเช่นกัน เพราะราคาได้ปรับตัวขึ้นมาสูงพอสมควรแล้ว นักลงทุนในทองคำทุกท่านไม่ควรตื่นตระหนกในการรีบเข้าซื้อทองคำในราคาสูงหรือไล่ราคา เพราะเหตุการณ์ต่างๆยังคงมีความคลุมเครือสูง ทำให้ทองคำยังคงมีความเสี่ยงที่จะถูกขายทำกำไรออกมาตลอดเวลา จึงควรติดตามข่าวดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจในการลงทุนในทองคำอย่างมีประสิทธิภาพ และมีผลกำไรในการลงทุน

โดย ดร.พิบูลย์ฤทธิ์  วิริยะผล  ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ

Leave a Reply